วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

มาปลูกกระเจี๊ยบแดงกันเถอะ

          มีเพื่อนๆ หลายท่านอยากจะปลูกสมุนไพรแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไง  จะปลูกอะไรดี และจะดูแลรักษาอย่างไง วันนี้ก็เลยมีข้อมูลดีๆ ของวิธีการปลูกสมุนไพรต่างๆ มาแนะนำ เพื่อประโยชน์ของเพื่อนๆ จะได้ข้อมูลและเลือกให้เหมาะตามความชอบและเหมาะกับสภาพท้องที่ที่ท่านจะปลูก เราจะมาแนะนำสมุนไพรให้ทราบกันที่ละตัวแล้วกันนะครับ วันนี้เรามาเริ่มกันเลยครับ....



กระเจี๊ยบแดง

ชื่อสมุนไพร               กระเจี๊ยบแดง
ชือวิทยาศาสตร์        Hibiscus  sabdariffa L.       ชื่อวงศ์     Malvaceae
ชื่ออื่น                       กระเจี๊ยบเปรี้ยว(ภาคกลาง), ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง(ภาคเหนือ),ส้มตะเรงเครง(ตาก)
                                 ส้มปู(แม่ฮ่องสอน), Jamaica sorrel, Indian sorrel, Roselle

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชปีเดียว
ต้น        เป็นพุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ ๑-๒ เซนติเมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง
ใบ         ก้านใบยาวประมาณ ๕ เซนติเมตร
ดอก      เป็นดอกเดี่ยวสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มกว่าส่วนนอก ออกดอกบริเวณง่ามใบ ก้านดอกสั้น                     กลีบ   รองดอกมีลักษณะปลายแหลม ประมาณ ๘-๑๒ กลีบ กลีบเลี้ยงมีสีแดงเข้มแผ่ขยายติด                   กันออกหุ้ม             เมล็ดไว้ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๖ เซนติเมตร
ผล        เป็นรูปรี ปลายแหลม ยาวประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร หุ้มไว้ด้วยกลีบเลี้ยงสีแดง

ส่วนที่ใช้ทำยา

          กระเจี๊ยบใช้ส่วนของดอก ในส่วนของกลีบเลี้ยงและริ้วประดับแห้ง ปลายกลีบเลี้ยงทั้ง ๕ รวบเข้าหากัน ยาว ๓-๔ เซ็นติเมตร ส่วนล่างมีรูกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๕ เซ็นติเมตร สีแดงคล้ำถึงสีดำ มีกลิ่นเฉพาะ รสเปรี้ยว

สรรพคุณของแต่ละส่วนที่ใช้ทำยา

          ตำราสรรพคุณยาไทยว่ากระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว ดอกมีสรรพคุณขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้เสมหะ ขับน้ำดี แก้ไอ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบและขับเมือกมันในลำไส้

รายงานการวิจัยปัจจุบัน

          ข้อมูลการศึกษาวิจัยพรีคลินิกพบว่า กระเจี๊ยบมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตลดไขมันในเลือดโดยลดการสร้างไขมันและเซลล์ไขมันลดการเกิดออกซิเดชันของแอลดีแอล และการเกิดโฟมเซลล์(foam cell)
ซึ่งเป็นสาเหตุของการสะสมไขมันที่ผนังหลอดเลือดทำให้ลดการเกิดโรคท่อเลือดแดงแข็ง(atherosclerosis) ต้านออกซิเดชันและอนุมูลเสรีป้องกันตับจากสารพิษ ทำลายเซลล์มะเร็ง ต้านการกลายพันธุ์ การส่งเสริมการเกิดเนื้องอก (tumor promotion) และต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
          ข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิกพบว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และทำให้ผู้ป่วยมีปัสสาวะใสกว่าเดิมขับกรดยูริกทางปัสสาวะ เพิ่มการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ ลดการเกิดนิ่ว ลดความดันโลหิตและลดไขมันในเลือด

สารสำคัญ

          องค์ประกอบทางเคมีของกระเจี๊ยบแดงประกอบด้วยสารกลุ่มแอนโทไซยานิน(anthocyanins) เช่น สารไซยานิดิน (cyanidin) เดลฟินิดิน (delphinidin) ซึ่งทำให้มีสีม่วงแดง กรดแอซีติก (acetic acid), กรดมาลิก (malic acid) กรดโพรโทแคทีชูอิก (protocatechuic acid) แคลเซียม วิตามินซี และวิตามินบี๓

แหล่งกำเนิด และกระจายพันธุ์

          พืชชนิดนี้เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของทวีปแอฟริกานำเข้ามาปลูกในประเทศไทยนานแล้ว ปลูกได้ทั่วทุกภาคในต่างประเทศปลูกกันทั่วไปในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนทั่วโลก

พื้นที่เหมาะสมในการปลูกในประเทศไทย

          - ลักษณะพื้นที่่     เป็นพื้นที่ดอน น้ำไม่ท่วมขัง ระบายน้ำได้ดี
          - ภาค                   ทุกภาคของประเทศไทย
          - จังหวัด               ลพบุรี สระบุรี นครสวรรค์ กาญจนบุรี อุตรดิตถ์ นครราชสีมา ชัยภูมิ ฯลฯ

การคัดเลือกพันธุ์ (พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย)

          - พันธ์ุที่ใช้เป็นยา          พันธ์ุพื้นเมืองทั่วไทย
          - พันธุ์ที่่ใช้เป็นอาหาร    พันธุ์ซูดาน หรือพันธุ์เกษตร เนื้อหนามีสีแดงเข้มจนถึงม่วง

การขยายพันธุ์

          ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด โดยเอาเมล็ดจากดอกแก่จัด มาตากแดด ๑-๒ วัน จนแห้งสนิท เก็บใสขวดโหลจนถึงฤดูเพาะปลูก นำออกมาปลูกได้เลย เพราะกระเจี๊ยบแดงไม่มีระยะฟักตัว



การปลูก/สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูก

          - ฤดูกาลเพาะปลูก กระเจี๊ยบแดงส่วนมากนิยมปลูกฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เพราะระยะแรกกระเจี๊ยบต้องการฝนบ้างในการเจริญเติบโต
          - การเตรียมดิน ส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นแปลง หรือยกร่อง การเตรียมดิน โดยการไถดะ ๑ ครั้ง แล้วไถแปลอีก ๑ ครั้ง แล้วคราดกำจัดวัชพืชออก ไถยกร่องเพื่อระบายน้ำ และทำการหว่าน หรือหยอดเมล็ด
          - วิธีการปลูก กระเจี๊ยบขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด นิยมปลูกพันธุ์ซูดานมากกว่าพันธุ์พื้นเมือง มีเนื้อหนา สีแดงเข้มมีน้ำหนักมาก ทนต่อความแห้งแล้งมาก การปลูกมีอยู่ด้วยกัน ๒ วิธี ได้แก่ การหว่านลงในแปลงปลูก และการหยอดหลุม
          วิธีที่ ๑ การหว่านเมล็ด ส่วนมากจะทำเป็นแปลงใหญ่ๆ โดยการไถพรวนกำจัดวัชพืช แล้วใช้เมล็ดหว่านบางๆ ไม่หนามากแล้วไถกลบ
          วิธีที่ ๒ การหยอดหลุม ประมาณ ๔-๕ เมล็ด แล้วกลบดินกันเล็กน้อย โดยหลุมห่างกันประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ประมาณ ๑๐ - ๑๕ วัน เมล็ดจะงอกขึ้นมา

การปฏิบัติดูแลรักษา

          - การให้ปุ๋ย พอกระเจี๊ยบงอกขึ้นมาจะถอนให้เหลือหลุม ๒-๓ ต้น และถ้ากระเจี๊ยบอายุ ๒๐-๓๐ วัน จะสูงประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ทำการพรวนดินใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ
          - การให้น้ำ กระเจี๊ยบไม่ชอบน้ำ ถ้าปลูกครั้งแรกให้น้ำสัก ๑-๒ ครั้ง ต่อวันก็พอ ถ้ามีฝนตกก็ไม่จำเป็น
          - การกำจัดวัชพืช กระเจี๊ยบ อายุ ๒๐-๓๐ วัน จะสูงประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ทำการพรวนดินกำจัดวัชพืชและกลบโคนต้นให้แน่น ป้องกันการล้มของต้นกระเจี๊ยบไปด้วย
          - การป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรู ควรฉีดพ่นยา ๒ ครั้ง ครั้งแรกต้องทำการพรวนดินใส่ปุ๋ย เมื่ออายุ ๓๐ วัน ครั้งที่ ๒ เมื่อกระเจี๊ยบเริ่มออกดอกติดฝักอ่อน โดยใช้สารสะเดา หรือใช้สารเคมีจำพวกมาลาไทออน (ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรใช้)

การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังเก็บเกี่ยว

          - ฤดูกาลการเก็บเกี่ยว จะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาว ประมาณเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม
          - วิธีการเก็บเกี่ยว จะใช้เวลาเก็บประมาณ ๒-๓ ครั้งต่ออายุการปลูก โดยการปลูกจะเก็บดอกที่แดงจัดถึงม่วงอ่อนและต้องเก็บเกี่ยวในช่วงที่พืชเจริญเติบโตเต็มที่ คือ ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงช่วงเก็บเกี่ยว ๔ เดือน ถึง ๔ เดือนครึ่ง ซึ่งการเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบแดง สามารถทำได้ ๒ วิธี ดังนี้
          ๑. เก็บเกี่ยวเฉพาะดอกกระเจี๊ยบ โดยใช้กรรไกรหรือมีดตัดเฉพาะดอกกระเจี๊ยบที่แก่ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว
          ๒. เก็บเกี่ยวทั้งต้นกระเจี๊ยบ เกษตรกรใช้เคียวเกี่ยวกิ่งที่มีดอกกระเจี๊ยบหรือเกี่ยวบริเวณโคนต้น
          - การแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยว เมื่อเก็บดอกออกมาแล้ว ควรนำมาผึ่งลมไม่ให้มีความชื้น และทำการกระทุ้งกระเปาะของเมล็ดที่อยู่ตรงกลางออก เพื่อให้เหลือแต่กลีบเลี้ยงสีแดงเท่านั้น และทำการตากแดด ๓-๕ วัน แล้วนำไปอบ เพื่อบรรจุต่อไป
          - การบรรจุและการเก็บรักษา เมื่ออบแห้งแล้ว จะบรรจุลงถุง หรือกระสอบสะอาดปราศจากความชื้น แล้วเย็บปากถุงและกระสอบ เพื่อไม่ให้แมลงเข้าได้ ควรเก็บในอุณหภูมิห้องปกติ

การจำหน่าย 

          ดอกกระเจี๊ยบสด    ราคากิโลกรัมละ ๑๐-๓๐ บาท
          ดอกกระเจี๊ยบแห้ง  ราคากิโลกรัมละ ๑๕๐-๓๐๐ บาท



ขอขอบคุณ   
ที่มาของข้อมูล: หนังสือคู่มือการกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการปลูกสมุนไพร เพื่อใช้ในทางเภสัชกรรมไทย
เคดิตภาพ:google


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำไมต้อง...อนุกรมวิธานพืช

          เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้ พืชสมุนไพร แต่ละชนิดหรือพรรณไม้แต่ละอย่าง เริ่มหายากมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ร่วมกันอนุรักษ์รักษา...