วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทำไมต้อง...อนุกรมวิธานพืช

          เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้ พืชสมุนไพรแต่ละชนิดหรือพรรณไม้แต่ละอย่าง เริ่มหายากมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ร่วมกันอนุรักษ์รักษาไว้ ก็มีแต่จะสูญหายไปเรื่อยๆ เราจึงต้องหันมาสนใจ และแยกแยะพรรณไม้กันให้เป็นเพื่ออนาคตข้างหน้า

          
          การจำแนกพรรณไม้นั้นต้องอาศัย วิชาพฤกษศาสตร์ สาขาอนุกรมวิธานพืช(plant taxonomy)เป็นหลักใหญ่ วิชาพฤกษศาสตร์ด้านนี้จึงเป็นความรู้พื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำไปใช้จำแนกพรรณไม้ได้โดยทั่วไป ไม่ว่าพรรณไม้นี้นๆ จะเป็นพรรณไม้ในถิ่นใด ถึงแม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับพรรณไม้นี้นๆ มาก่อนเลยก็ตามถ้านำเอาวิชาด้านนี้เข้าไปช่วยแล้วก็จะจำแนกพรรณไม้ได้อย่างแน่นอน จึงนับได้ว่า อนุกรมวิธานพืช นี้เป็นหัวใจในการจำแนกพรรณไม้ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านนี้ จึงจำเป็นต้องให้ความสนใจกับวิชาการด้านนี้พอสมควร

          อนุกรมวิธาน ตรงกับรากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า taxonomy หรือ systematics เป็นศาสตร์ที่มีขอบเขตกว้างขวางในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐานของๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยอาศัยข้อมูลหลายๆ ด้านของๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านั้น เมื่อนำวิชาอนุกรมวิธานมาใช้ในวิชาพฤกษศาสตร์ จึงหมายถึงวิชา อนุกรมวิธานพืช (plant taxonomy หรือ plant systematics ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายคือ การจำแนกพรรณพืชนั่นเอง


          วิชาอนุกรมวิธานพืชนี้นับได้ว่าเป็นแม่บทของวิชาพฤกษศาสตร์ เพราะก่อนที่เราจะเรียนรู้เรื่องของพืชในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสัณฐานวิทยา (morhology) สรีรวิทยา (physiology) กายวิภาควิทยา (anatomy) ฯลฯ จำเป็นต้องเรียนรู้ชื่อและลักษณะเด่นๆ ของพืชนั้นๆ เสียก่อน จึงอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับพรรณพืชไม่ว่าจะเป็นทางด้านนวกรรม เกษตรกรรม เภสัชกรรม ตลอดจนการนำพืชไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมด้านต่างๆ ต่างก็ต้องอาศัยผลงานของ นักอนุกรมวิธานพืช (plant taxonomist)
ด้วยกันทั้งนั้น เพื่อที่จะรู้จักชื่อพรรณพืชต่าง ๆ อย่างถูกต้องแน่นอน

            เพื่อการอนุรักษ์และรักษาพืชสมุนไพรเอาไว้ใช้ภายภาคหน้า ข้าพเจ้าก็เห็นว่าวิชาอนุกรมวิธานพืชนี้มีความสำคัญอย่างมาก




ขอขอบคุณหนังสือ
ที่มาของบทความบางตอน
:คู่มือจำแนกพรรณไม้ สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช
:อนุกรมวิธานพืช ฉบับราชบัณทิตยสถาน

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

มาทำน้ำมันมหาจักรกันเถอะ

          สืบเนื่องมาจากหลายๆ ท่านที่รู้จัก สอบถามข้าพเจ้าว่ามียาสมุนไพรอะไรบ้างไหมที่รักษาแผลเป็นและช่วยสมานแผล  ไม่ให้เป็นหนอง  ก็เลยให้นึกถึงสมัยเรียนเภสัชกรรมไทยที่สมาคมฯ  กับอาจารย์ซาเกาะ สะเดาโอสถ ที่อาจารย์ได้สอนทำน้ำมันตำรับนี้ โดยน้ำมันมหาจักรขนานนี้ ก็ยังเตรียมได้ง่ายและใช้สมุนไพรไม่กี่ตัวก็สามารถทำได้แล้ว และยังทำเองได้ไม่ยาก ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าน้ำมันมหาจักรขนานนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับบุคคลทั่วไป ที่จะทำเก็บไว้ใช้เองในบ้าน หรือทำแจก  ส่วนน้ำมันมหาจักรนี้ อยู่ในตำรับยาน้ำมันและยาขี้ผึ้ง ในคัมภีร์พระโอสถพระนารายณ์ ซึ่งทำใช้กันตั้งแต่สมัยอยุธยาโน้นนะครับ ใช้ทาแผลที่เกิดจากคมหอกคมดาบ จากศึกสงคราม และยังใช้ได้ดีมาจนถถึงปัจจุบัน
       
          ตอนนี้เราก็มาลองทำกันเลยครับ แต่ขอบอกไว่้ก่อนนะครับสูตรนี้ เป็นสูตรที่ผมได้เรียนกับอาจารย์ซาเกาะ นะครับ ส่วนท่านอื่นท่านเรียนมากับอาจารย์ท่านอื่นๆ อาจจะไม่เหมือนของผมก็ได้ แล้วแต่คนปรับสูตรนะครับ

ผิวมะกรูด

สูตรและวิธีทำน้ำมันมหาจักร

ของที่ต้องเตรียม

          ๑. มะกรูดสด ๖๐ ลูก (เอาแต่ผิวมะกรูด)
          ๒. เทียนทั้งห้า (เทียนดำ, เทียนแดง, เทียนขาว, เทียนข้าวเปลือก, เทียนตาตั๊กแตน)
               สิ่งละ ๑ บาท (๑๕ กรัม)
          ๓. ดีปลี ๒ บาท (๓๐ กรัม)
          ๔. การบูร ๔ บาท (๖๐ กรัม)
          ๕. น้ำมันทานตะวัน ๒ ลิตร

เทียนดำ

วิธีทำ

          ๑. ล้างผลมะกรูดให้สะอาด ปลอกเอาแต่ผิว ทั้ง ๖๐ ลูก
          ๒. ตำดีปลีพอแหลกหยาบ ๆ
          ๓. ใส่น้ำมันลงในภาชนะตั้งไฟกลางจนร้อน ใส่ผิวมะกรูดลงทอดคนตลอดช่วงแรกไม่ให้ไหม้
               (จะมีฟอง)
          ๔. ทอดจนผิวมะกรูด เป็นสีน้ำตาลอ่อน ให้ใส่ดีปลีลงไปจะมีกลิ่นหอมมากขึ้น
          ๕. คนต่ออีก ๕ นาที จึงใส่เทียนทั้ง ๕ ลงไป กลิ่นจะหอมยิ่งขึ้น ต้องคอยคนตลอด ช่วงนี้สี           สมุนไพรจะไหม้เร็วขึ้น ควรลดไฟลงใช้ไฟอ่อน
          ๖. ช่วงฟองจะหายไปจนเกือบไม่มีแสดงว่าน้ำละเหยไปหมดจนเหลือแต่น้ำมัน
          ๗. กรองด้วยสำลี แล้วใส่การบูรลงในน้ำมัน

เทียนตาตั๊กแตน

*การทอดไฟกลางจนได้คาร์บอน(ดำไหม้)ซึ่งคาร์บอนนี้ใช้ซับพิษดูดพิษได้ สมานแผลได้

สรรพคุณ

          แก้ลม แก้ริดสีดวง แก้ปวดเมื่อย ใส่บาดแผลที่มีอาการปวดที่เกิดจากเสี้ยนหนาม แก้เล็บขบ แก้ท้องลาย แผลเป็น แก้ชาปลายมือ สนเท้าแตก ศอกด้าน เข่าด้าน
       

          ไปลองทำกันดูนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆท่านไม่มากก็น้อยนะครับ แล้วพบกันครั้งต่อๆไปนะครับ จะสรรหาตำรับยาดีๆมาฝากกันครับ

สำหรับท่านไหนที่อยากได้สูตรดังเดิมตามคัมภีร์
ไปเปิดดูในหนังสือคำอธิบายตำราพระโอสถพระนารายณ์ (ตำรับยาน้ำมันและยาขี้ผึ้ง หน้า ๑๓๓)

กรองเอาแต่น้ำมัน


ขอขอบคุณที่มา
หนังสือคำอธิบายตำราพระโอสถพระนารายณ์ 
เอกสารการสอนเภสัชกรรมไทย โดย อ.ซาเกาะ สะเดาโอสถ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

มาปลูกกระเจี๊ยบแดงกันเถอะ

          มีเพื่อนๆ หลายท่านอยากจะปลูกสมุนไพรแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไง  จะปลูกอะไรดี และจะดูแลรักษาอย่างไง วันนี้ก็เลยมีข้อมูลดีๆ ของวิธีการปลูกสมุนไพรต่างๆ มาแนะนำ เพื่อประโยชน์ของเพื่อนๆ จะได้ข้อมูลและเลือกให้เหมาะตามความชอบและเหมาะกับสภาพท้องที่ที่ท่านจะปลูก เราจะมาแนะนำสมุนไพรให้ทราบกันที่ละตัวแล้วกันนะครับ วันนี้เรามาเริ่มกันเลยครับ....



กระเจี๊ยบแดง

ชื่อสมุนไพร               กระเจี๊ยบแดง
ชือวิทยาศาสตร์        Hibiscus  sabdariffa L.       ชื่อวงศ์     Malvaceae
ชื่ออื่น                       กระเจี๊ยบเปรี้ยว(ภาคกลาง), ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง(ภาคเหนือ),ส้มตะเรงเครง(ตาก)
                                 ส้มปู(แม่ฮ่องสอน), Jamaica sorrel, Indian sorrel, Roselle

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชปีเดียว
ต้น        เป็นพุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ ๑-๒ เซนติเมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง
ใบ         ก้านใบยาวประมาณ ๕ เซนติเมตร
ดอก      เป็นดอกเดี่ยวสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มกว่าส่วนนอก ออกดอกบริเวณง่ามใบ ก้านดอกสั้น                     กลีบ   รองดอกมีลักษณะปลายแหลม ประมาณ ๘-๑๒ กลีบ กลีบเลี้ยงมีสีแดงเข้มแผ่ขยายติด                   กันออกหุ้ม             เมล็ดไว้ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๖ เซนติเมตร
ผล        เป็นรูปรี ปลายแหลม ยาวประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร หุ้มไว้ด้วยกลีบเลี้ยงสีแดง

ส่วนที่ใช้ทำยา

          กระเจี๊ยบใช้ส่วนของดอก ในส่วนของกลีบเลี้ยงและริ้วประดับแห้ง ปลายกลีบเลี้ยงทั้ง ๕ รวบเข้าหากัน ยาว ๓-๔ เซ็นติเมตร ส่วนล่างมีรูกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๕ เซ็นติเมตร สีแดงคล้ำถึงสีดำ มีกลิ่นเฉพาะ รสเปรี้ยว

สรรพคุณของแต่ละส่วนที่ใช้ทำยา

          ตำราสรรพคุณยาไทยว่ากระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว ดอกมีสรรพคุณขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้เสมหะ ขับน้ำดี แก้ไอ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบและขับเมือกมันในลำไส้

รายงานการวิจัยปัจจุบัน

          ข้อมูลการศึกษาวิจัยพรีคลินิกพบว่า กระเจี๊ยบมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตลดไขมันในเลือดโดยลดการสร้างไขมันและเซลล์ไขมันลดการเกิดออกซิเดชันของแอลดีแอล และการเกิดโฟมเซลล์(foam cell)
ซึ่งเป็นสาเหตุของการสะสมไขมันที่ผนังหลอดเลือดทำให้ลดการเกิดโรคท่อเลือดแดงแข็ง(atherosclerosis) ต้านออกซิเดชันและอนุมูลเสรีป้องกันตับจากสารพิษ ทำลายเซลล์มะเร็ง ต้านการกลายพันธุ์ การส่งเสริมการเกิดเนื้องอก (tumor promotion) และต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
          ข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิกพบว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และทำให้ผู้ป่วยมีปัสสาวะใสกว่าเดิมขับกรดยูริกทางปัสสาวะ เพิ่มการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ ลดการเกิดนิ่ว ลดความดันโลหิตและลดไขมันในเลือด

สารสำคัญ

          องค์ประกอบทางเคมีของกระเจี๊ยบแดงประกอบด้วยสารกลุ่มแอนโทไซยานิน(anthocyanins) เช่น สารไซยานิดิน (cyanidin) เดลฟินิดิน (delphinidin) ซึ่งทำให้มีสีม่วงแดง กรดแอซีติก (acetic acid), กรดมาลิก (malic acid) กรดโพรโทแคทีชูอิก (protocatechuic acid) แคลเซียม วิตามินซี และวิตามินบี๓

แหล่งกำเนิด และกระจายพันธุ์

          พืชชนิดนี้เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของทวีปแอฟริกานำเข้ามาปลูกในประเทศไทยนานแล้ว ปลูกได้ทั่วทุกภาคในต่างประเทศปลูกกันทั่วไปในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนทั่วโลก

พื้นที่เหมาะสมในการปลูกในประเทศไทย

          - ลักษณะพื้นที่่     เป็นพื้นที่ดอน น้ำไม่ท่วมขัง ระบายน้ำได้ดี
          - ภาค                   ทุกภาคของประเทศไทย
          - จังหวัด               ลพบุรี สระบุรี นครสวรรค์ กาญจนบุรี อุตรดิตถ์ นครราชสีมา ชัยภูมิ ฯลฯ

การคัดเลือกพันธุ์ (พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย)

          - พันธ์ุที่ใช้เป็นยา          พันธ์ุพื้นเมืองทั่วไทย
          - พันธุ์ที่่ใช้เป็นอาหาร    พันธุ์ซูดาน หรือพันธุ์เกษตร เนื้อหนามีสีแดงเข้มจนถึงม่วง

การขยายพันธุ์

          ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด โดยเอาเมล็ดจากดอกแก่จัด มาตากแดด ๑-๒ วัน จนแห้งสนิท เก็บใสขวดโหลจนถึงฤดูเพาะปลูก นำออกมาปลูกได้เลย เพราะกระเจี๊ยบแดงไม่มีระยะฟักตัว



การปลูก/สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูก

          - ฤดูกาลเพาะปลูก กระเจี๊ยบแดงส่วนมากนิยมปลูกฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เพราะระยะแรกกระเจี๊ยบต้องการฝนบ้างในการเจริญเติบโต
          - การเตรียมดิน ส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นแปลง หรือยกร่อง การเตรียมดิน โดยการไถดะ ๑ ครั้ง แล้วไถแปลอีก ๑ ครั้ง แล้วคราดกำจัดวัชพืชออก ไถยกร่องเพื่อระบายน้ำ และทำการหว่าน หรือหยอดเมล็ด
          - วิธีการปลูก กระเจี๊ยบขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด นิยมปลูกพันธุ์ซูดานมากกว่าพันธุ์พื้นเมือง มีเนื้อหนา สีแดงเข้มมีน้ำหนักมาก ทนต่อความแห้งแล้งมาก การปลูกมีอยู่ด้วยกัน ๒ วิธี ได้แก่ การหว่านลงในแปลงปลูก และการหยอดหลุม
          วิธีที่ ๑ การหว่านเมล็ด ส่วนมากจะทำเป็นแปลงใหญ่ๆ โดยการไถพรวนกำจัดวัชพืช แล้วใช้เมล็ดหว่านบางๆ ไม่หนามากแล้วไถกลบ
          วิธีที่ ๒ การหยอดหลุม ประมาณ ๔-๕ เมล็ด แล้วกลบดินกันเล็กน้อย โดยหลุมห่างกันประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ประมาณ ๑๐ - ๑๕ วัน เมล็ดจะงอกขึ้นมา

การปฏิบัติดูแลรักษา

          - การให้ปุ๋ย พอกระเจี๊ยบงอกขึ้นมาจะถอนให้เหลือหลุม ๒-๓ ต้น และถ้ากระเจี๊ยบอายุ ๒๐-๓๐ วัน จะสูงประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ทำการพรวนดินใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ
          - การให้น้ำ กระเจี๊ยบไม่ชอบน้ำ ถ้าปลูกครั้งแรกให้น้ำสัก ๑-๒ ครั้ง ต่อวันก็พอ ถ้ามีฝนตกก็ไม่จำเป็น
          - การกำจัดวัชพืช กระเจี๊ยบ อายุ ๒๐-๓๐ วัน จะสูงประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ทำการพรวนดินกำจัดวัชพืชและกลบโคนต้นให้แน่น ป้องกันการล้มของต้นกระเจี๊ยบไปด้วย
          - การป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรู ควรฉีดพ่นยา ๒ ครั้ง ครั้งแรกต้องทำการพรวนดินใส่ปุ๋ย เมื่ออายุ ๓๐ วัน ครั้งที่ ๒ เมื่อกระเจี๊ยบเริ่มออกดอกติดฝักอ่อน โดยใช้สารสะเดา หรือใช้สารเคมีจำพวกมาลาไทออน (ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรใช้)

การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังเก็บเกี่ยว

          - ฤดูกาลการเก็บเกี่ยว จะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาว ประมาณเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม
          - วิธีการเก็บเกี่ยว จะใช้เวลาเก็บประมาณ ๒-๓ ครั้งต่ออายุการปลูก โดยการปลูกจะเก็บดอกที่แดงจัดถึงม่วงอ่อนและต้องเก็บเกี่ยวในช่วงที่พืชเจริญเติบโตเต็มที่ คือ ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงช่วงเก็บเกี่ยว ๔ เดือน ถึง ๔ เดือนครึ่ง ซึ่งการเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบแดง สามารถทำได้ ๒ วิธี ดังนี้
          ๑. เก็บเกี่ยวเฉพาะดอกกระเจี๊ยบ โดยใช้กรรไกรหรือมีดตัดเฉพาะดอกกระเจี๊ยบที่แก่ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว
          ๒. เก็บเกี่ยวทั้งต้นกระเจี๊ยบ เกษตรกรใช้เคียวเกี่ยวกิ่งที่มีดอกกระเจี๊ยบหรือเกี่ยวบริเวณโคนต้น
          - การแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยว เมื่อเก็บดอกออกมาแล้ว ควรนำมาผึ่งลมไม่ให้มีความชื้น และทำการกระทุ้งกระเปาะของเมล็ดที่อยู่ตรงกลางออก เพื่อให้เหลือแต่กลีบเลี้ยงสีแดงเท่านั้น และทำการตากแดด ๓-๕ วัน แล้วนำไปอบ เพื่อบรรจุต่อไป
          - การบรรจุและการเก็บรักษา เมื่ออบแห้งแล้ว จะบรรจุลงถุง หรือกระสอบสะอาดปราศจากความชื้น แล้วเย็บปากถุงและกระสอบ เพื่อไม่ให้แมลงเข้าได้ ควรเก็บในอุณหภูมิห้องปกติ

การจำหน่าย 

          ดอกกระเจี๊ยบสด    ราคากิโลกรัมละ ๑๐-๓๐ บาท
          ดอกกระเจี๊ยบแห้ง  ราคากิโลกรัมละ ๑๕๐-๓๐๐ บาท



ขอขอบคุณ   
ที่มาของข้อมูล: หนังสือคู่มือการกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการปลูกสมุนไพร เพื่อใช้ในทางเภสัชกรรมไทย
เคดิตภาพ:google


ทำไมต้อง...อนุกรมวิธานพืช

          เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้ พืชสมุนไพร แต่ละชนิดหรือพรรณไม้แต่ละอย่าง เริ่มหายากมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ร่วมกันอนุรักษ์รักษา...