สืบเนื่องมาจากข้าพเจ้าได้มีโอกาสศึกษาร่ำเรียนวิชาการแพทย์แผนโบราณ ตอนแรกๆที่ได้เข้า
มาศึกษา ก็ให้นึกสงสัยว่าทำไมครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาด้วย และรุ่นพี่ๆ ทุกๆท่านนั้นถึงให้ความเคารพนับถือและบูชาปู่ชีวกโกมารภัตกันนัก จนข้าพเจ้าศึกษาวิชาแพทย์ได้ระยะหนึ่ง
ถึงได้เข้าใจและขอมอบตัวเป็นศิษย์กับปู่ชีวก ในงานไหว้ครูแพทย์ของสมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย ที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาเล่าเรียนมา เพื่อให้เป็นแพทย์ที่ดีและมีแบบอย่างที่ดีในวิถีแห่งนี้ที่ข้าพเจ้าจะได้ปฏิบัติตาม เป็นเหมือนหลักยึดตามคัมภีร์แพทย์โบราณดังที่อาจารย์หลายๆท่าน ที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาด้วย ได้กล่าวไว้
ข้าพเจ้าจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้ามีโอกาสจะเผยแพร่ประวัติความเป็นมาของบรมครูแพทย์ท่านนี้ให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จัก กอบกับพอดีไปได้หนังสือ "กตัญญุตานุสรณ์ ๒๕๒๔ ชีวประวัติบรมคุรุแพทย์
ชีวกโกมารภัต" ซึ่งรวบรวมและแปลจากพระไตรปิฎก โดย พระอริยเมธี ป.๙ เรียบเรียงโดย เปมังกโร ภิกขุ จากน้องที่สนิทกันแนะนำมาให้อ่าน พอได้อ่านแล้วเห็นว่าละเอียดดีกว่าที่มีอยู่ในตำราแพทย์แผนโบราณทั่วๆไป จึงอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นวิทยาทานแก่บุคคลทั่วไปที่อยากทราบประวัติความเป็นมาของท่านบรมครูปู่ชีวก ที่บ้างท่านอาจจะทราบแล้วหรือบางท่านยังไม่เคยทราบมาก่อน เรามาเริ่มกันเลยนะครับ.......
ปฐมภาคส่วนเบื้องต้น
ครั้งสมัยดึกดำบรรพ์ ชมพูทวีปเป็นพื้นภูมิภาคที่เกิดอาศัยของคนหมู่มากมีหลายพวก หลายภาษา แต่เมื่อย่อลงอาจแบ่งได้เป็นสองเหล่า คือ ชนชาติที่ได้ชื่อว่า "อริยกะ หรืออารยัน" พวกหนึ่ง และชนชาติที่เป็นชาวพื้นเมืองเดิมอีกพวกหนึ่ง ซึ่งชาวอารยันให้ชื่อรวมว่า "ทัสยุ" ในสมัยปัจจุบันจัดเป็นประเทศส่วนหนึ่งของทวีปเอเชีย เปลี่ยนชื่อชมพูทวีปนั้นเป็นประเทศอินเดีย หรือตามที่ชาวอินเดียเรียกเองว่า "ประเทศภารตะ" ตั้งอยู่ทางทิศพายัพของประเทศไทย ถัดไปจากประเทศสาธารณรัฐสหภาพพม่า
ปรเทศอินเดียครั้งพุทธกาล ว่าเฉพาะตอนที่เรียกว่า "มัธยมประเทศ" แบ่งแยกออกเป็นหลายแคว้นหลายอาณาจักร ปรากฏเป็น ๑๖ แคว้นใหญ่ เรียกว่า"มหาชนบท" มีการปกครองแบบสมบูรณาสิทธิราชบ้าง แบบประชาธิปไตย หรือสาธารณรัฐบ้าง
มีแคว้นหนึ่งใน ๑๖ เป็นแคว้นใหญ่สำคัญที่เกิดของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ซึ่งจะต้องพูดถึงในที่นี้คือ แคว้นมคธ หรือมคธอาณาจักร ของประชาชาติมคธี มีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช พระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ครองแคว้นโดยสิทธิ์ขาด เมืองหลวงชื่อ "ราชคฤห" ตั้งอยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำคงคา ส่วนฝั่งแม่น้ำคงคาถัดขึ้นไปไกลทางด้านเหนือเป็นอีกแคว้นหนึ่ง เรียกว่า "แคว้นวัชชี" ของประชาชาติวัชชี ปกครองตามแบบที่เรียกว่า "สามัคคีธรรม" เมืองหลวงชื่อ "ไพสาลี" แคว้นมคธ กับ แคว้นวัชชีติดต่อกัน อยู่คนละฝากฝั่งแห่งแม่น้ำคงคา ประชาชาติทั้งสองแคว้นย่อมไปมาหาสู่กันด้วยกิจธุระ เช่น การค้าขาย เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง พวกคนสำคัญๆ ชั้นเศรษฐีกฎุมพีในกรุงราชคฤห แห่งแคว้นมคธไปด้วยกิจธุระในกรุงไพสาลี แห่งแคว้นวัชชี คนพวกนี้ไปเกิดสนใจเรื่องหญิงโสภินีซึ่งตั้งเกลื่อนกลาดอยู่ในกรุงไพสาลีหลายตำบลขึ้น เป็นอาวีวกรรมที่ไม่มีในแคว้นของตน จึงสนใจก็พากันเห็นพ้องต้องกันว่าดีเป็นประศามโนบายอย่างหนึ่ง เปิดช่องทางให้เงินไหลเข้าสู่แคว้นโดยได้จากคนต่างแคว้นซึ่งเขามาด้วยธุรกิจ เช่น พวกพ่อค้าวาณิชเข้ามาทำการค้าขายเป็นต้น เข้ามาแล้วจักเข้าหาหญิงโสภิณี หญิงพวกนี้ก็เท่ากับเป็นคณะมีหน้าที่ทำการรับแขกเมืองอันมาจากแคว้นต่างๆ ปรากฏว่าหญิงโสภิณีในแคว้นวัชชี ครั้งกระนั้นมีหัวหน้าควบคุม นางอัมพะปาลีได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าควบคุมหญิงโสภิณีทั้งหมด เรียกว่า "คณิกา" คือ หญิงหัวหน้าคณะโสภิณี ประกอบกับชื่อของเขาว่า "อัมพะปาลีคณิกา" เฉพาะตัวนางอัมพะปาลีเอง ซึ่งเป็นหัวหน้ามีค่าตัว คืนหนึ่ง ๕๐๐ กหาปณะ (๑ กหาปณะ เท่ากับ ๔ บาท)
เมื่อพวกเศรษฐีกฎุมพีชาวกรุงราชคฤห์จำนวนนั้นกลับสู่แคว้นของตน ถึงกรุงราชคฤหแล้ว ได้โอกาสก็พากันเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินของตน ทูลเล่าถวายถึงความเจริญสมบูรณ์แห่งกรุงไพศาลี วัชชีอาณาจักร และพรรคหญิงโสภิณีซึ่งมีอยู่ทั่วๆ ไปตามหัวเมืองสำคัญๆ ในแคว้นวัชชี ทูลถวายความเห็นถึงประโยชน์แห่งหญิงโสภิณีว่า เป็นทางให้เงินเข้าสู่ประเทศได้จากคนต่างแคว้นซึ่งมาจากแคว้นนั้นๆ ทูลแนะนำว่าควรจัดให้จัดทำตั้งพรรคหญิงโสภิณีขึ้นบ้าง เหมือนอย่างแคว้นวัชชี พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับแล้วก็ทรงเห็นประโยชน์สอดคล้องกับคนพวกนั้น ได้ประทานพระราชานุมัติ เสนาบดีผู้เป็นประธานในราชกิจก็ได้ดำเนินงานตามราชนุมัติจัดสรรขึ้นตามความประสงค์ของคนเหล่านั้น
หญิงทีจะเป็นโสภิณีได้ มิใช่จะหมายเอาแต่คนรูปสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น ต้องเป็นคนที่สมบูรณ์ด้วยมารยาท นาฏศิลป์ มีความรู้ในการขับจับระบำ รำฟ้อน และดนตรีประเภทต่างๆ ด้วย หญิงสาวชาวกรุงราชคฤหคนหนึ่ง มีนามว่า "สาลวดี" ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหญิงโสภิณีประจำแคว้น ประกอบด้วยรูปสมบัติ และคุณสมบัติสมบูรณ์พร้อม ฟ้อนรำ ระบำ ดนตรี นับว่าดีเลิศหาผู้ทัดเทียมได้ยาก มีค่าตัวคืนหนึ่ง ๑๐๐ กหาปณะ ตั้งแต่นั้นมาแคว้นมคธก็เกิดหญิงโสภิณีขึ้นดื่นดาดตามหัวเมืองสำคัญๆ อย่างเดียวกับประเทศวัชชีเหมือนกัน เป็นวิธีหาเงินจากคนต่างด้าวเข้าสู่แคว้นได้ทางหนึ่ง
ชาติกำเนิดของโกมารภัต
นางสาลวดีหัวหน้าหญิงโสภิณีทำหน้าที่รับแขกเมืองดี มีเกียรติคุณกระฉ่อนไปยังแคว้นต่างๆ ในชมพูทวีป จิรกาลนานมานางได้ตั้งครรภ์ ในระหว่างที่นางมีครรภ์นี้ได้พักหน้าที่รับแขกชั่วคราว จนกว่าจะคลอดบุตรเสร็จแล้ว เมื่อนางตั้งครรภ์นานกำหนดครบถ้วนทศมาส ก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย นางสาลวดีผู้มารดาไม่คิดจะเลี้ยงดูจึงเรียกหญิงสาวใช้มาให้เอาทารกใส่กระด้งนำไปทิ้งเสียที่กองขยะแต่เวลาเช้ามืด มิให้ใครจับร่องรอยได้
ในตอนบ่ายวันนั้น อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จประพาสพระมหานครโดยรถม้าไปตามถนนหลวงเลี้ยวเข้าถนนสายหนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นกองขยะขนาดใหญ่มีฝูงกาจับเป็นกลุ่ม รุกเข้าไป ถอยออกมา จึงตรัสใช้ให้นายสารถีไปตรวจดู กลับมาทูลว่า "ทารกนอนอยูบนกองขยะมูลฝอย พระเจ้าข้า" ตรัสถามว่า "เป็นหรือตาย" เขาทูลว่า "ยังเป็นอยู่ พระเจ้าข้า" คำทูลให้ทรงทราบว่ายับเป็นอยู่นี้เป็นนามของทารกน้อยนั้นในกาลสืบไปว่า "ชีวก" แปลว่าผู้เป็นอยู่ หรือยังเป็นอยู่ ภาษาไทยควรจะเป็น เจ้าชีพ หรือนายชีพ
เมื่อพระราชกุมารทรงทราบว่ายังเป็นอยู่ ก็ตรัสบัญชาใช้ไปอุ้มเอามา นำไปสู่นิเวศน์วังของพระองค์ ทรงมอบให้แก่หญิงนางนมคนหนึ่ง ทรงบังคับให้เลี้ยงดูเป็นอย่างดียิ่ง ทารกน้อยนี้ใช้นามว่า "เจ้าชีพ คือ ชีวะ หรือ ชีวก" ภายหลังเมื่อเจริญวัยขึ้น ก็ได้นามเพิ่มเติมอีกว่า "โกมารภัต" หมายความว่า เด็ก หรือบุตรบุญแต่บุญทำบุญสร้างของพระราชกุมารทรงชุบเลี้ยงไว้ คุมกันเข้าเป็น "ชีวกโกมารภัต" ดังนี้ แต่คนภายนอกทั่วๆ ไปก็พากันเข้าใจว่า ชีวกโกมารภัตเป็นพระโอรสของอภัยราชกุมารเป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าพิมพิสาร มคธินทราธิราช แม้ตัวของชีวกโกมารภัตเอง ก็เข้าใจว่าตัวเป็นพระโอรสของอภัยราชกุมาร นัดดาของพระเจ้าพิมพิสารเหมือนกัน
เมื่อชีวกโกมารภัตเจริญวัยขึ้น่เป็นลำดับ ครั้งหนึ่งน่าจะมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างหนึ่ง ณ ภายนอกเกิดขึ้นเร้าจิตใจของชีวกโกมารภัตให้คิดถึงตัวว่า "คนมีสกุลเช่นเรา ถ้าไม่มีศิลปวิทยาความรู้เป็นเครื่องประดับ จะดำรงชีวิตไปได้ยาก เราจำต้องหาวิชาใส่ตัวจึงจะเหมาะสม ศิลปวิทยาการเครื่องประกอบเป็นอาชีพมีมากในโลกจะเลือกอย่างไหนดีหนอ" ก็เกิดความคิดเห็นชอบใจวิชาการแพทย์ ตกลกเลือกวิขาแพทย์ก็ผูกใจไว้ เข้าใจว่าเพราะชีวกโกมารภัตเป็นผู้มีอัชฌาศัยเช่นนั้นเตือนใจอยู่เป็นเดิมแล้ว จึงจำเพาะเจาะหมายเอาวิชาการแพทย์ แล้วคอยหาช่องทางต่อไป
วันนี้คงพอเท่านี้ก่อน เดี๋ยวหาโอกาสมาต่อส่วนที่เหลือ... ว่าท่านชีวกโกมารภัตไปเมืองตักกศิลาได้อย่างไร แล้วใครสอนวิชาแพทย์เป็นพิเศษ แล้วผ่าเปิดกระโหลกศีรษะเศรษฐีอย่างไง แล้วค่อยมาต่อกันตอนหน้านะครับ.....................
ขอขอบคุณที่มาของบทความ